...

แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้นานแค่ไหน และวิธีดูแลให้เกิน 5 ปี

แบตเตอรี่รถยนต์เปรียบเสมือนหัวใจของรถ คือแหล่งพลังงานหลักตั้งแต่สตาร์ทเครื่องยนต์ ยันเปิดไฟและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ หากแบตไม่มั่นคง รถจะสตาร์ทยากหรือวิ่งไม่ราบรื่น ทั้งที่รถอาจดูแลดีแค่ไหนก็ตาม

โดยทั่วไป แบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ได้ประมาณ 3 ถึง 5 ปี บางครั้งอาจยืดได้ถึง 10 ปี แต่ต้องเป็นในสภาพที่เหมาะสมสุดๆ เช่น อากาศเย็นและใช้งานอย่างระมัดระวังเท่านั้น

อยากรู้ว่าแบตฯ จะอยู่ได้นานแค่ไหน ต้องเข้าใจปัจจัยที่ทำให้อายุแบตฯ สั้นลง เช่น อากาศร้อนจัด การใช้งานไม่สม่ำเสมอ หรือวิธีชาร์จและดูแลรักษาแบตเตอรี่เอง ก็ส่งผลเช่นกัน อย่างเช่นแบตเตอรี่แบบแห้ง ถ้าไม่คอยเช็กระดับน้ำและเติมน้ำกลั่นให้เหมาะสม ก็เสี่ยงเสื่อมเร็ว

ถ้าคุณรู้จักวิธีดูแลและประเมินอายุการใช้งานของแบตฯ ได้ดี จะช่วยเลี่ยงปัญหาแบตหมดกลางทางได้ง่ายขึ้น ควรชาร์จแบตให้เต็มอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงปล่อยรถทิ้งไว้นานๆ ไม่ใช้อุปกรณ์ชาร์จที่ไม่เหมาะสม เพราะเทคนิคเหล่านี้ช่วยยืดชีวิตแบตเตอรี่รถยนต์ให้เกินมาตรฐานอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

อายุการใช้งานเฉลี่ยของแบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้งานได้ประมาณ 3 ถึง 5 ปี แต่ตัวเลขนี้เป็นแค่การประมาณคร่าวๆ เท่านั้น แบตเตอรี่บางลูกอาจอยู่ได้นานถึง 10 ปี ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมสุดๆ อย่างอากาศเย็นและการดูแลอย่างพิถีพิถัน ปัจจัยหลายอย่างส่งผลต่ออายุการใช้งาน เช่น ความถี่ในการใช้รถ สภาพอากาศในพื้นที่ที่คุณอยู่อาศัย รวมถึงวิธีดูแลแบตเตอรี่ก็มีส่วนสำคัญมาก

อุณหภูมิสูงจัดทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติ ขณะที่อากาศเย็นจัดก็ทำให้แบตเตอรี่ต้องทำงานหนักขึ้นตอนสตาร์ทรถ พฤติกรรมการขับขี่ก็มีผลเหมือนกัน หากคุณขับรถระยะสั้นบ่อย ๆ แบตฯ อาจไม่ได้รับการชาร์จเต็มที่ ทำให้ประสิทธิภาพลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงยากที่จะบอกชัดเจนว่าแบตเตอรี่จะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่ถ้ารู้คร่าว ๆ ก็ช่วยเตรียมตัวได้ดีขึ้น ไม่ต้องตกใจวันไหนที่รถสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตหมด

สำหรับแบตเตอรี่แห้ง การรักษาระดับน้ำกรดให้เหมาะสมและดูแลเรื่องอื่น ๆ จะช่วยยืดอายุแบตได้มากกว่าแค่การชาร์จปกติ นอกจากนี้เทคโนโลยี Battery Management System (BMS) ที่เริ่มใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่แบบเรียลไทม์ ช่วยแจ้งเตือนก่อนแบตจะมีปัญหา ทำให้อายุการใช้งานยาวขึ้นประมาณ 20% และป้องกันการเสียแบบกะทันหันได้ด้วย
ถ้าใส่ใจการดูแลให้ดีจริง ๆ แบตเตอรี่รถยนต์ของคุณก็อาจอยู่ได้นานกว่าที่เคยคาดไว้เยอะเลยล่ะ

ประเภทของแบตเตอรี่รถยนต์และอายุการใช้งาน

แบตเตอรี่ตะกั่วกรดยังครองใจผู้ใช้รถทั่วไป เพราะมันเชื่อถือได้และราคาสบายกระเป๋า การทำงานก็ง่ายๆ แค่แผ่นตะกั่วจุ่มในกรดซัลฟิวริก ไม่ได้ดูไฮเทคอะไร แต่หนักเอาเรื่อง และเก็บพลังงานได้ค่อนข้างจำกัด แค่ประมาณ 30-50 วัตต์ชั่วโมงต่อกิโลกรัม กับรอบชาร์จซัก 300-500 ครั้งพอ นั่นแหละเหตุผลที่แบตเตอรี่แบบนี้เหมาะกับรถทั่วไปที่เน้นประหยัดและใช้งานได้ยาว 3-5 ปีแบบพอดีๆ

ถ้าจะให้ดีกว่าเดิม ต้องลองแบตแบบ AGM (Absorbent Glass Mat) แทนที่จะปล่อยกรดให้ไหลอิสระในถัง AGM ใช้แผ่นไฟเบอร์กลาสซับกรดไว้ ทำให้ชาร์จได้ไวขึ้นและทนแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า รถที่มีระบบสตาร์ท-สตอป หรือรุ่นหรูมักเลือกใช้แบต AGM เพราะมันรับมือกับการสตาร์ทเครื่องบ่อยๆ ได้ดี อายุใช้งานอยู่ที่ราว 4-7 ปีเลยทีเดียว

อีกทางเลือกที่อยู่ตรงกลางคือ EFB (Enhanced Flooded Battery) ไม่ได้ทนทานเท่า AGM แต่แข็งแรงกว่าตะกั่วกรดทั่วไป เหมาะกับรถเล็กหรือระบบสตาร์ท-สตอปขั้นพื้นฐาน อายุใช้งานจะอยู่ประมาณ 4-6 ปี

เห็นได้ชัดว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมาเปลี่ยนเกมเลย ไม่ว่าจะน้ำหนักเบา กักเก็บไฟได้มากถึง 150-250 วัตต์ชั่วโมงต่อกิโลกรัม และทนการชาร์จซ้ำเกิน 1,000 ครั้ง เหล่านี้เลยกลายเป็นหัวใจของรถไฟฟ้าและไฮบริด อายุแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสูงสุดอาจถึง 10 ปีโดยแทบไม่ลดประสิทธิภาพ แต่แน่นอนว่าราคาก็สูงติดดวงจันทร์ ทำให้ยังไม่ค่อยแพร่หลายในรถยนต์บ้านๆ ทั่วไป

สุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ที่คุณเลือกและวิธีดูแลรักษาให้ดีตรงกับสภาพอากาศและวิธีขับรถของคุณ นิดหน่อยที่ใส่ใจไม่เพียงช่วยยืดอายุแบต แต่ยังช่วยให้คุณไม่ต้องเจอปัญหารถสตาร์ทไม่ติดกลางทาง แบบที่ใครๆ ก็ไม่อยากเจอจริงไหม?

สภาพภูมิอากาศและอุณหภูมิ

แบตเตอรี่ไม่ชอบอะไรที่รุนแรงเลย พออุณหภูมิลดฮวบ รถจอดในโรงรถเย็นจัด หรือเช้าๆ ที่อากาศหนาวจัด ปฏิกิริยาเคมีในแบตเตอรี่ช้าลงจนแทบหยุดเดิน น้ำกรดที่ข้นขึ้นเหมือนน้ำเชื่อมหนืดๆ ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อจะสตาร์ท บางครั้งแบตก็สตาร์ทไม่ติดเลย คุณคงเคยเจอเหตุการณ์นี้ตอนอากาศเย็นจัด

กลับกัน ในวันที่ร้อนระอุ ความร้อนสูงกลับเป็นศัตรูเงียบที่ทำลายแบตฯ ความร้อนเร่งให้ปฏิกิริยาเคมีทำงานไวขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เร่งการกัดกร่อนและให้น้ำกรดระเหยเร็วซะจนคุณอาจตกใจ ยิ่งน้ำกรดในแบตฯ ลดลงมาก แบตก็ทำงานได้น้อยลงตามไปด้วย นี่แหละสาเหตุที่แบตเตอรี่ในพื้นที่ร้อนจัดมักตายก่อนเวลาที่ควรเป็น

แบตเตอรี่จะทำงานดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิประมาณ 80°F (ราว 27°C) ซึ่งถือเป็น “โซนสบาย” ที่ช่วยให้ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ใครปล่อยแบตฯ อยู่ในที่หนาวเกินไปหรือร้อนเกินไปก็เตรียมใจไว้เลยว่ามันจะเสื่อมเร็วกว่าเดิมแน่

รถยนต์สมัยใหม่บางรุ่นเริ่มมีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนหรือระบบระบายความร้อนด้วยน้ำรอบๆ แบตเตอรี่ เพื่อช่วยคุมอุณหภูมิไม่ให้พุ่งสูงหรือต่ำเกินไป ตัวช่วยเล็กๆ เหล่านี้ทำให้แบตฯ อยู่ได้นานขึ้นถึง 15-25% ช่วยลดความยุ่งยากและความกังวลเวลาต้องออกเดินทางไกลโดยไม่ต้องกลัวแบตหมดกลางทาง

นิสัยการขับรถ

การขับรถแค่ระยะสั้นๆ นี่แหละที่เป็นศัตรูแอบแฝงของแบตเตอรี่รถยนต์ทุกคน ทุกครั้งที่คุณขึ้นรถไปทำธุระเร็วๆ แล้วดับเครื่องก่อนแบตฯ จะได้ชาร์จเต็ม มันเหมือนการกัดกร่อนพลังงานแบตทีละนิด เครื่องกำเนิดไฟฟ้าของรถ (alternator) ต้องใช้เวลาขับยาวๆ กับความเร็วที่เหมาะสมถึงจะเติมพลังกลับเข้าแบตได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็เผาแบตฯ แบบไม่ให้มันมีเวลาพักเลย

ยุคนี้อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถเยอะเต็มไปหมด ทั้งระบบสตาร์ท-สตอปที่ดับเครื่องทุกครั้งที่จอดติดไฟแดง ฟังก์ชันเหล่านี้ช่วยประหยัดน้ำมันได้จริง แต่ก็ทรมานแบตเตอรี่ด้วยการชาร์จและปล่อยไฟวนไปไม่หยุด มันเหมือนให้แบตฯ วิ่งมาราธอนโดยไม่มีการวอร์มอัพเลย

ถ้าคุณเป็นคนชอบขับรถแรงๆ เหยียบคันเร่งหมดมิด เปิดไฟทุกดวง ตั้งความร้อน เบาะอุ่นครบเครื่อง แบตเตอรี่ก็ต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า อาการเสื่อมเร็วจึงมาเยือนไวขึ้นแน่นอน แบตที่เคยแรงก็จะเริ่มหมดเร็วและลดอายุการใช้งานโดยรวมลงอย่างเห็นได้ชัด
ลองคิดว่าแบตฯ คือนักวิ่งมาราธอน อย่าไปบีบให้มันวิ่งสปรินต์ตลอดเวลา จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย และจะพาเราขับรถลุยไปได้ไกลๆ มากกว่าที่เคย

การใช้และการบำรุงรักษายานพาหนะ

ถนนขรุขระไม่ใช่แค่สั่นสะเทือนช่วงล่างรถ แต่ยังโยกเยกชิ้นส่วนละเอียดอ่อนในแบตเตอรี่ สร้างความเสียหายสะสมจนแบตเสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย เปิดไฟ วิทยุ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ขณะดับเครื่อง เทียบได้กับการใช้แบตมือถือจนหมดคาบคืนเดียว แรงดึงไฟไหลออกไว แล้วสุดท้ายก็ต้องมานั่งลุ้นหาจั๊มสตาร์ทให้วุ่นวาย

แค่ใส่ใจดูแลแบตก็ยืดอายุใช้งานได้ไม่น้อย รัดคีมแบตให้แน่น เช็ดขจัดคราบสนิมที่ขั้วแบตเตอรี่ แล้วคอยส่องระดับแรงดันไฟฟ้าบ้าง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้แบตอยู่กับคุณได้นานกว่าที่คิด ทิ้งเลยไม่ได้ตรวจเช็กง่ายๆ แบบนี้ รับรองว่าแบตติ้งก็คงหมดแรงไปก่อนเวลาอันควรแน่นอน

การจัดเก็บและดูแลรักษาแบตเตอรี่

เก็บแบตเตอรี่ผิดวิธี แบตก็หมดแรงก่อนจะได้ลงรถ อย่าลืมเก็บไว้ในที่เย็นและแห้ง อุณหภูมิที่เหมาะอยู่ระหว่าง 10°C ถึง 25°C (50°F ถึง 77°F) ร้อนเกินไปหรือลบเย็นเกินไป น้ำในแบตฯ จะระเหยจนแบตไหลแรงเองโดยไม่รู้ตัว ใครอยากให้แบตสดชื่นอยู่เสมอ ควรต่อเครื่องชาร์จแบบเมาเทนเนอร์หรือทริกเกิลชาร์จไว้ตอนเก็บ ไม่ต่างกับการให้แบตจิบพลังงานทีละนิดไปเรื่อยๆ

ก่อนเก็บแบต อย่าลืมเช็ดทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ให้เกลี้ยง เพราะคราบสนิมจะสะสมทำให้เจอปัญหาทีหลังได้ง่าย การดูแลตั้งแต่วันแรกที่ซื้อจนถึงก่อนติดตั้ง จะช่วยให้แบตฯ ทำงานได้เต็มที่และอยู่กับคุณไปได้นานกว่าเดิมจริงๆ

สัญญาณที่บ่งบอกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยน

ถ้ารถสตาร์ทช้า เหมือนเครื่องยนต์ลากเกียร์ไปเรื่อย ๆ หรือต้องกดกุญแจนานกว่าปกติ แบตเตอรี่อาจใกล้หมดไฟเต็มที เสียงสตาร์ทอืดๆ นั่นแหละ สัญญาณบ่งบอกว่าแบตฯ พยายามส่งไฟไม่พอให้สตาร์ทเตอร์ทำงานได้เต็มที่ เบรกไฟหน้าหรี่ลงหรือไฟหน้าปัดกระพริบเหมือนสัญญาณเตือน ก็ไม่ต่างอะไรกับธงแดงโบกว่าคุณกำลังจะเจอแบตฯ หมดแรง

ลองส่องดูที่ขั้วแบตด้วย ถ้าพบคราบเกาะหนาๆ สีขาว สีเขียวอมฟ้า หรือสีน้ำตาลสนิม นั่นคือคราบกรดที่ทำปฏิกิริยากับโลหะ กักขวางกระแสไฟไม่ให้ไหลลื่น การทำความสะอาดช่วยได้บ้างแต่บางทีคราบก็กลับมาใหม่เสมอ ถ้าปัญหานี้เป็นบ่อย ๆ แปลว่าแบตฯ ใกล้หมดอายุแล้ว ควรเตรียมเปลี่ยนใหม่ดีกว่า

อยากรู้ว่าแบตเตอรี่ยังอยู่ในสภาพดีไหม ลองใช้เครื่องวัดแรงดันไฟฟ้า (โวลต์มิเตอร์) ดู แบตที่ชาร์จเต็มจะอ่านค่าได้สูงกว่า 12.6 โวลต์ ถ้าตกลงต่ำกว่า 12.4 แสดงว่าแบตฯ กำลังครึ่งหมดไฟและเริ่มเสื่อม ระดับต่ำกว่า 12.0 โวลต์ลงไปคือแบตใกล้ตายหรือหมดสภาพใช้แล้ว

สัญญาณเตือนพวกนี้ตั้งแต่สตาร์ทเครื่องช้า ไฟหรี่ ขั้วแบตสกปรก และแรงดันไฟต่ำ รวมกันแล้วก็ควรจะเปลี่ยนแบตฯ ก่อนที่จะเจอสถานการณ์รถสตาร์ทไม่ติดกลางทาง การอยู่อย่างระวังและสังเกตอาการเหล่านี้คือวิธีเซฟให้แบตเตอรี่รถยนต์ของคุณอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เคล็ดลับในการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณ

จอดรถในที่ร่มหรือในโรงรถ

ความร้อนจัดกับหนาวเย็นจัดทำร้ายแบตเตอรี่รถยนต์กว่าที่คิด ช่วงอุณหภูมิที่แบตฯ ทำงานได้ดีที่สุดและอยู่ได้นานที่สุดคือประมาณ 80°F (27°C) จอดรถทิ้งไว้กลางแดดเปรี้ยงหรือปล่อยให้โดนหนาวจัดๆ แบตเตอรี่ก็ต้องทำงานหนัก เสื่อมไวกว่าเดิม ช่วงขับรถแค่ระยะสั้น ๆ นี่ก็แอบกัดพลังแบตทีละนิด เพราะไม่ให้มันได้ชาร์จเต็มและฟื้นตัวเต็มที่ เท่าที่ทำได้ ควรขับไปไกล ๆ หน่อย เพื่อให้แบตเตอรี่มีเวลาชาร์จไฟและคงสภาพดีไปนาน ๆ ไม่งั้นอาจเจอแบตหมดก่อนวัยอันควรอย่างไม่ทันตั้งตัว

ใช้เครื่องรักษาแบตเตอรี่หรือเครื่องชาร์จแบบหยดเพื่อการจัดเก็บในระยะยาว

ถ้าต้องจอดรถทิ้งไว้นาน การใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่แบบเมนเทนเนอร์หรือทริกเกิลชาร์จช่วยได้เยอะ เจ้าอุปกรณ์จิ๋วนี้จะคอยจ่ายไฟเล็กๆ น้อยๆ แบบต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้แบตหมดไฟหรือเกิดคราบซัลเฟตที่ทำลายแบตได้ ตั้งง่ายมาก แค่หนีบที่ขั้วแบตเตอรี่ เสียบปลั๊ก แล้วลืมมันไปเลย พอถึงเวลาขับรถใหม่ แบตก็สดชื่นพร้อมลุย ไม่ต้องเสียเวลายุ่งยากกับการจั๊มสตาร์ทให้วุ่นวาย

ตรวจสอบและทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่เป็นประจำ

คราบสนิมกับคราบสกปรกที่เกาะขั้วแบตเตอรี่บีบให้กระแสไฟไหลติดขัด ทำให้แบตต้องทำงานหนักขึ้นและเสื่อมเร็วขึ้น ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเล็กน้อย แล้วใช้แปรงนุ่มๆ ขัดถูเบาๆ ที่ขั้วแบต หลังจากนั้นล้างน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง ขั้วแบตสะอาดเชื่อมต่อไฟได้เต็มที่ ช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานเต็มประสิทธิภาพและอยู่ได้นานขึ้นหลายเท่า

ทดสอบแบตเตอรี่ของคุณหลังจากสามปี

ใช้รถมาเกือบสามปีแล้ว ควรพาแบตเตอรี่ไปตรวจเช็กที่อู่บ้าง เพราะเขามีเครื่องวัดความต้านทานภายในที่จะบอกสัญญาณแรกๆ ว่าแบตกำลังเสื่อมจากข้างในนะ เมื่อต้านทานเพิ่มขึ้น แปลว่าเคมีภายในแบตเริ่มมีปัญหา การจับสัญญาณเร็วแบบนี้ช่วยให้เปลี่ยนแบตใหม่ได้ก่อนที่มันจะปล่อยให้คุณเดือดร้อนกลางทาง หลายศูนย์บริการมีเครื่องทดสอบแบตแบบโหลดที่จะตรวจจับแบตเสื่อมได้ตั้งแต่เนิ่นๆ พอรู้ปัญหาล่วงหน้า ก็ไม่ต้องกลัวรถสตาร์ทไม่ติดตอนเช้าหน้าหนาวอีกต่อไป

นวัตกรรมการรีไซเคิลและแบตเตอรี่แบบบริการ (BaaS)

การรีไซเคิลแบตเตอรี่ก้าวหน้าไปมากในช่วงหลังๆ วัสดุอย่างตะกั่ว ลิเธียม และพลาสติกถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้เกิน 90% ช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดขยะที่ล้นดินฝังกลบ นอกจากนั้น โมเดล Battery-as-a-Service (BaaS) เริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะซื้อแบตเตอรี่เป็นเจ้าของ คุณแค่เช่าแล้วเปลี่ยนเมื่อแบตเสื่อม วิธีนี้ลดภาระค่าใช้จ่ายครั้งแรกและทำให้อัปเกรดง่ายขึ้นไปพร้อมกับลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดทั้งสำหรับผู้ใช้และโลกใบนี้ ช่วยลดแบตเตอรี่ตกค้างในถังขยะ พร้อมเปิดประตูสู่พลังงานใหม่ที่เข้าถึงได้มากขึ้น

เมื่อใดจึงควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์โดยทั่วไปอยู่ได้ประมาณสามถึงห้าปี แต่ตัวเลขนี้เป็นแค่ประมาณการณ์เท่านั้น อายุการใช้งานจริงขึ้นกับสภาพการทำงานและวิธีดูแลรักษาของคุณ ถ้าสตาร์ทแล้วรู้สึกเครื่องยนต์เหมือนเหนื่อยหนัก ไฟหน้าหรี่จางเหมือนกำลังจะหมด หรือระบบไฟฟ้าทั้งคันดูอืดอาด นั่นคือสัญญาณแบตเตอรี่ใกล้จะหมดแรงแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนก่อนจะกลายเป็นปัญหากลางทาง

ทุกวันนี้ เซ็นเซอร์อัจฉริยะช่วยให้คุณเช็กสภาพแบตเตอรี่รถยนต์ผ่านมือถือได้ง่ายๆ แจ้งเตือนล่วงหน้าถ้าแบตฯ เริ่มเสื่อม ป้องกันไม่ให้คุณเจอแบตหมดแบบไม่ทันตั้งตัว อากาศก็มีผลเหมือนกัน ทั้งร้อนจัดและหนาวจัดต่างเร่งให้แบตเสื่อมเร็วขึ้น อย่าลืมเลือกแบตเตอรี่ให้เหมาะกับรถด้วยนะ เช่น แบตลิเธียมไอออนในรถไฮบริดมักทนทานกว่าตะกั่วกรดแบบเดิมมาก

อย่าเพิ่งเชื่อแค่วันผลิตที่ติดมากับแบตเตอรี่ เพราะมันบอกได้แค่ว่าแบตฯ อยู่ในช่วงไหนของชีวิตเท่านั้น คอยสังเกตว่ามันยังทำงานดีแค่ไหน เช็กสภาพแบตเป็นระยะๆ และถ้ามันเริ่มมีอาการแปลกๆ อย่าชะล่าใจ เดี๋ยวจะต้องเสียเวลาตอนรถสตาร์ทไม่ติดกลางทาง แบตเตอรี่แห้งอยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการดูแลของคุณจริงๆ ดูแลดีๆ มันก็จะอยู่กับคุณได้นาน แต่ถ้าเพิกเฉย วันดีคืนดีมันก็อาจตายเอาในเวลาที่คุณไม่ทันตั้งตัว

บทสรุป

แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่หมดอายุอยู่ที่ประมาณสามถึงห้าปี แต่นั่นแค่กรอบคร่าวๆ เท่านั้น สภาพอากาศที่คุณอยู่ก็ส่งผลไม่น้อยเลย แดดระอุจนแทบจะย่างให้สุกหรือหนาวเหน็บจนเย็นยะเยือก ล้วนทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นไปอีก การขับรถก็มีผล ถ้าคุณชอบวิ่งงานสั้นๆ รอบเมืองบ่อยๆ แบตก็ไม่มีเวลาที่จะชาร์จไฟเต็มที่ มันเลยค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆจนถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนใหม่ในที่สุด

รักษาแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพดี ต้องทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นประจำ เช่น เช็ดขั้วแบตให้สะอาด ตรวจดูว่าคุณไม่ได้ลืมปิดไฟไว้ หรือมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เปิดค้างไว้ แล้วก็อย่าลืมพาแบตไปเช็กสภาพบ้าง โดยเฉพาะถ้าใช้มานานหลายปีแล้ว พอเริ่มรู้สึกว่าสตาร์ทรถช้าลง หรือไฟหน้าหรี่ลง อย่ารอให้รถงอแงก่อนค่อยหาทางแก้ไข เปลี่ยนแบตก่อนที่มันจะหมดแรงจนทำให้คุณต้องติดอยู่กลางทาง แบบนี้ช่วยประหยัดทั้งเวลาและความเครียดไปได้เยอะเลย

แบ่งปันโพสต์:
Scroll to Top